กดดันตัวเองมากเกิน
ลักษณะของคนที่มีนิสัยกดดันตัวเอง
- มีความหวังกับตัวเองสูง
- มีความทะเยอทะยานสูง
- อยากพิสูจน์ตัวเอง
- ชอบอะไรที่ท้าทายตัวเอง
- บางทีอาจเอาค่าของตัวเองไปผูกกับสิ่งอื่น เช่น การประสบความสําเร็จ การเอาชนะ การได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เป็นต้น
- ชอบบังคับข่มขู่หรือด่าว่าตัวเองเพื่อเคี่ยวเข็ญตัวเอง
- เวลาผิดหวัง ทําอะไรผิดพลาดที่ผิดไปจากความคาดหวัง จะไม่ลืมแต่กลับเอาความผิดพลาดนี้มาทําร้ายตัวเองจนชีวิตดิ่ง
- มีโอกาสมากกว่าคนอื่นที่จะเสี่ยงติดสิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ สุรา หรือ สิ่งเสพติดอื่นๆ เพื่อมากลบเกลื่อนความเสียใจและผิดหวังของตัวเอง
สาเหตุที่ทําให้กดดันตัวเอง
มีความหวังกับตัวเองสูง
การมีความหวังกับตัวเองสูงนั้นเป็นเรื่องที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันอย่างไร หากเราคาดหวังกับตัวเองในเรื่องที่สมควรที่ตรงต่อความเป็นจริงมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากเราขาดหวังกับตัวเองมากเกินจนกดดันตัวเองเครียด ลน และไม่มีความสุข ความคาดหวังนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่กลับมาทําร้ายตัวเอง มากไปกว่านั้นเมื่อมีความคาดหวังกับตัวเองที่สูงมากเท่าไหร่แล้วทําไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น นํ้าหนักของความคาดหวังนี้ก็ห่นลงมาทับตัวเอง กลายเป็นความผิดหวังและความโกรธในตัวเองจนอาจจะหมดความมั่นใจไปเลยก็มี
ความหวังที่เรามีต่อตัวเองยิ่งสูงเท่าไหร่ เวลาผิดหวัง ก็เราตกลงมาสูงเท่านั้น
หรือไม่บางคนใช้ความคาดหวังที่มีให้กับตัวเองมากดดันตัวเองมากจนชีวิตขาดสมดุล เช่นการใช้ร่างกายจนสุขภาพเสีย นี้คือบางเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าการที่เรามีความหวังกับตัวเองที่สูงก็อาจจะไม่ได้ดีเสมอไป มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราใช้มันอย่างไร
แล้วความคาดหวังที่เรามีกับตัวเองที่กําลังกดดันเราอยู่คืออะไร? เป็นความคาดหวังที่ตรงต่อความจริงไหม? เราควรเอามันมากดดันตัวเองไหม? อยากให้ลองนั่งทบทวนและจดลงมาดู ว่าความคาดหวังไหนที่กําลังกดดันเรามากที่สุด เป้าหมายก็เพื่อให้เรารู้ว่าสาเหตุที่เรารู้สึกกดดันมันคืออะไร เพื่อที่เราจะได้เอามาจัดการอีกทีว่าความคาดหวังนี้สุดท้ายแล้วมันดีต่อเราจริงไหม เท่าไรคือพอดี หรือว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราคาดหวังกับตัวเองมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรขนาดนั้น
คาดหวังกับตัวเองด้วยความรักหรือด้วยความอยาก?
อันนี้เป็นอีกคําถามที่อยากให้ไปพิจารณาอย่างละเอียดอ่อน หากเรากดดันตัวเองเพราะรู้ว่าเราสามารถทําได้และควรทําบางสิ่งที่ดีต่อตัวเองและผู้อื่น กดดันเพื่อลดละ อีโก้ ของเราที่อาจจะ เป็นคนขี้เกียจ ไม่มีระเบียววินัย อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ควรกดดันในปริมานที่พอดี เหมือนที่พระพุทธเจ้าได้พูด เรื่อง พิณสามสาย ที่ไม่ควรตึงหรือหย่อนเกินไป
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราคาดหวังกับตัวเองด้วยความอยากอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มีความรักความเข้าใจอยู่ในนั้น สิ่งที่เราจะได้ก็คือความกดดันอย่างไม่มีขอบเขตหรือเหตุผล จะมีแต่การผลักดันกดขี่และเคี่ยวเข็ญตัวเรา ซึ่งอาจจะออกมาในรูปแบบต่างๆเช่น บางคนอาจจะด่าว่าตัวเองในใจ กดดันตัวเองตลอดเวลาทําไมไม่สําเร็จสักที ทําไมไม่ได้เหมือนคนอื่นสักที ต่างๆนาๆ โดยไร้ซึ่งความรักความเข้าใจต่อตัวเราเอง สุดท้ายนี้ก็กลายเป็นเรื่องของ อีโก้ หรือ อัตตาตัวตน ที่กําลังทําร้ายตัวเองเราเอง เพราะลึกๆมันอาจจะอยากจะพิสูจน์ หรือ รู้สึกว่าตัวเองนั้นมีค่า การทําตามอํานาจของความอยากเช่นนี้ ยิ่งทํามากก็ยิ่งส่งเสริมอีโก้และทําให้เราเป็นทาสต่ออีโก้ของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น มันไม่ได้ทําไปด้วยความรักและความเข้าใจ อันนี้ก็อยากให้เราเอาไปทบทวนตัวเองว่ารากฐานหรือเจตนารมณ์ของเราในการผลักดันตัวเองนั้นสุดท้ายแล้วมันคืออะไร
มีความคาดหวังกับตัวเองที่ผิด
แย่ไปกว่าการที่เรามีความคาดหวังกับตัวเองที่มากเกินก็คือการที่เราไปมีความคาดหวังที่ผิด เช่น:
มีความคิดหรือความเชื่อแบบ fix idea
- ต้องสําเร็จถายในอายุเท่านี้เท่านั้น
- เพื่อนจบมาได้งานดี เราก็ต้องมีงานที่ดีเหมือนกัน
- ถ้าสอบไม่ได้มหาลัยที่นี้เท่ากับชีวิตเราจะไม่มีอนาคตแล้ว
- ต้องแต่งงานมีลูกมีครอบครัวก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้
- คนประสบความสําเร็จต้องเป็นต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้
- เรามีตําแหน่งนั้นตําแหน่งนี้แปลว่าคนอื่นจะต้องคาดหวังเราแบบนั้นแบบนี้
เอาค่าของตัวเองไปผูกไว้กับสิ่งภายนอก
- ทรัพย์สินเงินทอง
- ชื่อเสียง
- รูปลักษณ์หน้าตา
- การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
- การยอมรับจากคนรอบข้าง
- การประสบความสําเร็จ
- หน้าที่การงาน
- หน้าตาทางสังคม
มีความอยากในชีวิตที่ผิด
- เราต้องดีกว่าเพื่อนถึงจะมีความสุขได้
- ต้องพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่เห็นว่าเรามีค่าให้ได้ก่อนถึงจะมีความสุข
- เห็นปลายทาง สําคัญกว่าเส้นทาง
ทั้งหมดที่ list มานี้ก็แค่เป็นตัวอย่าง แต่สิ่งที่อยากให้ฝึกก็คือการเห็นความดีในความแย่และความแย่ในความดีเสมอ บางทีชีวิตก็ไม่ได้ขาวหรือดําอย่างที่เราคิดเสมอ บางอย่างที่ดูเหมือนจะขาวแต่หากดูดีๆก็จะเห็นว่ามันก็มีอะไรดําอยู่ในนั้น หรือว่าบางอย่างที่ดูดํา แต่จริงๆมันก็มีแง่ที่ขาวหรือสิ่งที่ดีอยู่ในนั้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น:
- การที่เราเกิดมาในครอบครัวที่รํ่ารวยนี้ก็ไม่ได้ดีเสมอไป เมื่อชีวิตสบายก็ไม่ต้องดิ้นลน สุดท้ายกลายเป็นคนอ่อนแอและไม่ขวนขวาย คนรวยหลายคนที่ผมรู้จักก็ติดยา ติดสุรา และสุดท้ายชีวิตที่แสนสบายนี้ก็ทําให้พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าในสังคม ในทางกลับกัน มีคนหลายคนมากที่เกิดมาด้วยความยากลําบาก แต่เพราะความยากลําบากนี้ก็ทําให้เขาแข่งแข็ง และสุดท้ายก็เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เขาประสบความสําเร็จในภายหลัง
- คนที่หน้าตาดี บางทีก็เป็นคุณและโทษอยู่ในตัว เวลาหาคู่ คนที่เข้ามาเขาอาจจะไม่ได้รักเราที่นิสัยใจคอ พอแก่ตัวเข้าหน้าตาไม่สวยเหมือนเดิม คนรักเราก็อาจจะเดินออกจากชีวิตเรา เพราะเหตุผลเดียวที่เข้ามา นั้นก็คือหน้าตาและความสวยหล่อของเรา ดังนั้นการที่เรามีหน้าดีก็อาจจะเป็นทั้งบุญและโทษอยู่ในตัวเดียวกันก็เป็นได้

สรุปก็คือทุกอย่างมันไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นหรือแย่ร้อยเปอร์เซ็นเสมอ หากเรามองให้ดี ทุกอย่างมันก็มีทั้งข้อดีและชั่วในตัวของมัน ปัญหาก็คือเดี๋ยวนี้ เราเชื่ออะไรง่ายเกิน สังคมหรือคนอื่นว่าว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี เราก็เชื่อตามๆกันมา แต่บางทีสิ่งที่ใครว่าดีหรือไม่นั้นมันก็ไม่แน่เสมอไป สิ่งที่คนอื่นว่าดีนักดีน้า พอเราเหน็ดเหนื่อยได้มันมาเราก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เห็นมีค่าอะไรเลยอย่างที่เขาพูดกัน
ที่พูดมานี้ก็เพื่อให้เราเห็นความสําคัญในการพิจารณาของค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เรากําลังเอามากดดันตัวเองอยู่ เช่นถ้าเราสมัครไม่ได้มหาลัยหรืองานดีๆอย่างเพื่อนเขา มันแปลกว่าชีวิตเราจบแล้ว ชีวิตหมดหวังแล้วจริงไหม? หรือว่าบางทีเส้นทางของชีวิตของคนเรามันก็ไม่จําเป็นต้องเหมือนกัน และ สิ่งที่สําคัญกว่ามากกว่างานหรือมหาลัย ก็คือตัวเราเอง และไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนในชีวิต ทุกคนก็ต่างมีนิยามของความสําเร็จที่ไม่เหมือนกัน เป้าหมายของชีวิตบางคนก็แค่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ได้ต้องการเงินทอง ตําแหน่ง หรือการยอมรับ อะไร การที่เขามีครอบครัวอบอุ่นแต่ไม่ได้เด่นเรื่องอื่นๆที่คนส่วนมากพูกกันว่าคือ "ความสําเร็จ" แปลว่าเขาไม่ประสบความสําเร็จจริงหรือ? โลกมีนิยามของความสําเร็จที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเวลาเสมอ หากเราไม่มีนิยามว่าอะไรคือดีหรือไม่ดี อะไรคือความสําเร็จของชีวิตเรา เราก็จะไหลไปตามกระแสของสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเราต้องให้นิยามของความสําเร็จให้กับตัวเอง อย่าไปทําตามคนอื่นๆโดยที่ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ผลลบจากการกดดันตัวเอง
- ทําให้เครียด ไม่มีความสุข
- ลนเพราะกดดันตัวเอง ทําให้ผลออกมาแย่กว่าเดิม และกลายเป็นเราก็ยิ่งกดดันตัวเองมากกว่าเดิมอีกเพราะทําผิดพลาด
- มีนิสัยกดดันคนอื่น เพราะมันก็คือวิธีที่เราใช้กับตัวเองเช่นกัน
- ผิดหวังกับตัวเองได้ง่าย
- ผิดหวังมาก นาน และ ดิ่ง กว่าคนอื่น
- เมื่อประสบความสําเร็จอาจจะเอาความสําเร็จของตัวเองมาเป็นอีโก้เพื่อกดคนอื่น
- เสี่ยงที่เสียสุมดุลในชีวิตได้ง่าย
- ไม่น่ารักต่อตัวเอง มักจะใช้คําพูดที่รุนแรงกับตัวเอง
แนวทางการรักษาอาการกดดันตัวเองมากเกิน
รู้จักหนักเบา: กดดันในบางเรื่องแต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง บางเรื่องเราก็ต้องอ่อนโยนกับตัวเอง
เวลาที่เราเสียใจ หมดกําลังใจ ผิดหวัง วิธีที่คนชอบกดดันตัวเองมักใช้ในการกระตุ้นตัวเองก็คือการกดดันตัวเองมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกเพื่อบังคับตัวเองให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ จากที่เคยด่าว่าตัวเองอยู่ ก็ยิ่งด่าว่าตัวเองให้หนักกว่าเดิม จากที่ผิดหวังในตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโกรธและไม่ให้อภัยตัวเอง เผลอๆอาจจะไปไกลถึงการลงโทษตัวเองเลยก็มี สุดท้ายก็จบลงที่อาการดิ่ง ดาว ซึมเศร้า จนอาจจะต้องไปพึงพาสิ่งเสพติดเพื่อหนีจากความกดดันที่โหดร้ายของตัวเอง
ลองนึกภาพว่าถ้าเรามีลูก แล้วลูกมันตั้งใจเล่นฟุตบอลมากเพื่อได้เหรียนทอง มันไปซ้อมทุกวัน มันศึกษาเกี่ยวกับฟุตบอล ไปดูว่านักเตะมืออาชีพเตะอย่างไร มันคุยทั้งวันแต่เรื่องฟุตบอล แต่วันที่มันไปแข่งมันกลับแพ้ ไม่ได้เหรียนตามที่หวัง แต่สิ่งที่เราพูดกับมันก็คือ "สมควรแล้วที่ไม่ได้เหรียน" "ทําได้แค่นี้หรอ" "ห่วง ทําอะไรก็ไม่ได้เรื่อง" "ไม่สมควรที่จะเกิดมาเป็นลูกพ่อ" เราคิดว่าลูกเมื่อได้ยินคําพูดที่รุนแรงพวกนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร?
ปัญหามันไม่ได้ต่างกัน เพราะ คําพูดพวกนี้ก็คือคําพูดที่เราใช้กับตัวเอง ดังนั้น การกดดันตัวเองไม่ใช่ทางออกเสมอ และ เราควรที่จะอ่อนโยน เข้าใจ และให้กําลังตัวเองให้เป็นด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เราล้ม เราไม่ควรไปซํ้าเติมตัวเองเพราะมันเป็นเวลาที่เราจะต้องเป็นมิตรที่ดีต่อตัวเองที่ดีที่สุด ระวังคําพูดในเชิงลบที่กดตัวเองลง และรู้จักใช้คําพูดที่ให้กําลังใจ ที่เต็มไปด้วย ความรักและความเข้าใจ เหมือนเราเองเป็นเด็กคนนั้น
หมั่นทบทวนทําความรู้จักและพิจารณาสิ่งกําลังกดดันตัวเอง
ขั้นแรกนั้นเราต้องรู้จักตัวเองมากพอก่อนว่าอะไรกําลังทําให้เรารู้สึกกดดัน ถ้ามีเวลาก็แนะนําให้หาสถานที่เงียบๆ ที่อยู่แล้วรู้สึกสงบ และเขียนสิ่งที่เรากําลังรู้สึกกดดันออกมา เป้าหมายก็เพื่อให้เรารู้ก่อนว่ามีอะไรบ้างที่กดดันเราอยู่
ขั้นตอนต่อไปให้เราเอาสิ่งที่กําลังกดดันเราอยู่นั้นมาพิจารณาอย่างรอบคอบ ละเอียดอ่อน เป็นกลาง และมองจากทุกแง่ทุกมุมเพื่อเห็นค่าที่แท้จริงของมัน
เราไปกดดันตัวเองว่าต้องจบมหายลัยดีนั้นมันจําเป็นขนาดนั้นไหมจริงๆไหม มีคนที่เราชื่นชมคนไหนไหมที่เขาเองก็ไม่ได้จบมาจากมหาลัยดีหรือบางทีก็ไม่ได้จบมหาลัยเลย เราเห็นว่ามหาลัยมันดีลองมองดูสิว่ามันมีจุดบอดหรือข้อเสียอะไรไหม หรือว่าเราว่าถ้าเราเข้ามหาลัยที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมันแย่ มันแย่จริงไหม แล้วเรารู้ได้อย่างไร เมื่อเรามองมันในทุกแง่ทุกมุมแล้ว เราอาจจะค้นพบว่าสิ่งที่เรากําลังกดดันตัวเองอยู่นั้นบางทีมันอาจจะไม่ได้จําเป็นหรือสําคัญอะไรขนาดนั้นก็เป็นได้ หรืออย่างไอ้ที่ว่าต้องสําเร็จต้องมีเงินเท่าโน้นเท่านี้ ต้องแต่งงาน มีงานมีอาชชีพก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้ มันจําเป็นและมีความจริงอย่างที่คนอื่นเขาพูดหรือคาดหวังจากตัวเราไหม สิ่งที่คนอื่นว่ามันดี มันดีขนาดนั้นจริงหรือเปล่า แล้วสิ่งที่เขาต้องแลกมาที่เขายังไม่ได้พูดให้เรารู้มันมีอะไรบ้าง แล้วนิยามของคําว่า "ดี" นี้มันต้องเหมือนกันทุกคนไหม
สุดท้ายแล้ว ถ้าเราพิจารณาดีพอ เราจะรู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าอะไรหรอก มันแค่ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กับมันดีขนาดไหน บางคนมีทุกอย่างเพรียงพร้อมแต่ไม่ตั่งใจไม่ขยันชีวิตก็ตกตํ่า บางคนเกิดมาขัดสนแต่มุ่งมันไม่ย่อท้อชีวิตก็ขึ้นสูง
อย่าเอาค่าของเราไปผูกกับสิ่งภายนอก
ยิ่งเราอยากมีค่ามาเท่าไร เราก็ยิ่งกดดันตัวเองมากเท่านั้น ยิ่งเราเอาสิ่งภายนอกมากําหมดค่าของตัวเองมากเท่าไหร่ ค่าของชีวิตเราก็ยิ่งขึ้นอยู่กับสิ่งๆนั้นมากขึ้นเท่านั้น ทําให้ค่าของชีวิตเรากระจายและไปขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก เช่น เงินทอง ความสวยงาม ชื่อเสียง การงาน การยอมรับ การเป็นที่รู้จัก หรือ ความสําเร็จ ซึ่งเมื่อสิ่งพวกสามารถมากําหมดค่าของชีวิตเราได้ เราก็จําเป็นต้องเครียดและกดดันตัวเองกับทุกพวกนี้ ดังนั้นอย่าเอาค่าของเราไปผูกกับอะไรเลยจะดีที่สุด มากไปกว่านั้นยิ่งเราเอาค่าของเราไปผูกกับสิ่งใด เราเองก็ยิ่งมองและตัดสินคนอื่นแบบนั้น เช่น หาเราวัดค่าตัวเราเองที่การมีเงิน ใครมีเงิน เราก็จะชื่นชมหรืออิจฉา ส่วนคนที่ไม่มีเงินเราก็จะไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้ หรืออาจจะดูถูก แต่หากว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องเงินต้องแต่เริ่มอยู่แล้ว ใครจะมาตัดสินเราเรื่องเงินทอง เราก็ไม่สน เพราะเราไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันจากมันตั่งแต่เริ่มอยู่แล้ว
ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...
- ไม่มีทางออก
- อาการไม่ดีขึ้น
- พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ
สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:
แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ
หรือ
Line: @schooloflife
Line: @schooloflife
ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้สึกผิด
อย่าเอาความผิดในอดีตมาทําลายหรือขัดขวางเราจากสิ่งดีๆที่เราเปลี่ยนแปลงได้ในปัจจุบัน
#กล่องยาสามัญประจําใจ

